แสงรักษาสิว
ฉายแสงรักษาสิว ได้อย่างไร
แสงรักษาสิวได้โดยอาศัยกลไก ได้แก่ การกำจัดเชื้อแบคทีเรียโดยทางตรงและทางอ้อมและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของต่อมไขมัน การรักษาทำโดยใช้แสงกระตุ้นเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีต่อสารก่อภาวะไวแสง โดย Cutibacterium acnes (C.acnes) สร้างสารชื่อ porphyrins มีคุณสมบัติเป็นสารก่อภาวะไวแสง (endogenous photosensitizer) ซึ่งสารนี้สามารถดูดซับแสงที่มีความยาวคลื่นใกล้รังสีอัลตราไวโอเลตและแสงความยาวคลื่น 400 นาโนเมตร การที่เซลล์แบคทีเรียได้รับพลังงานที่สูงมากๆ เชเซลล์แบคทีเรียจะตายไปจากการสร้าง singlet oxygen และสารอนุมูลอิสระทำให้เซลล์ถูกทำลาย
แสงรักษาสิวเหมาะกับใครบ้าง
- ผู้ที่ใช้ยาทารักษาสิวและยารับประทานแล้วไม่ได้ผล
- ผู้ที่มีปัญหาหรือมีความเสี่ยงต่อสิวดื้อยาปฏิชีวนะ เช่น ผู้ที่ใช้ยาทา clindamycin หรือ erythromycin ที่ไม่ใช้ยารักษาสิวตัวอื่นควบคู่
- ผู้ที่มีสิวอักเสบและไม่ต้องการกินยาปฏิชีวนะ
นอกจากนี้ PDT ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรงที่ไม่ต้องการรับประทานยา isotretinoin
ข้อดีของการรักษาด้วยแสงรักษาสิว
- ข้อดีคือ ไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบอื่นๆ ได้ผลดีมากสำหรับสิวอักเสบแต่ไม่ได้ผลกับ comedone
ข้อเสียของการรักษาด้วยแสงรักษาสิว
- ข้อด้อยของวิธีนี้ คือ ใช้เวลาประมาณ 230 นาทีต่อครั้ง รู้สึกไม่สะดวกสบายเล็กน้อย ระหว่างทำการรักษา
ผลของการรักษาขึ้นกับอะไรบ้าง
- การตอบสนองต่อการรักษาขึ้นกับ porphyrins ที่จะเหนี่ยวนำให้เกิดการทำลาย acnes อย่างไรก็ตามแบคทีเรียสามารถเติบโตขึ้นได้ใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องทำการรักษาซ้ำอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่เห็นผลจากการรักษาได้อย่างชัดเจน เมื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง มีเพียงส่วนน้อยที่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย หรือไม่เห็นผล
การรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำบ่อยแค่ไหน
- แนะนำให้ผู้ป่วยมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ต่อเนื่องกัน 2-3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของสิวแต่ละคน
ทั้งนี้การรักษาสิวด้วยวิธีนี้ ควรจะขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์โดยดูจากความเหมาะสมกับชนิดของสิว ประสิทธิภาพของเครื่องฉายแสงรักษาสิวที่ใช้ ความสะดวกในการเดินทางเข้ามารับการรักษา
หากคุณมีปัญหาสิวและต้องการเข้ามาปรึกษาเพื่อรับการรักษาด้วยวิธีนี้ สามารถติดต่อได้ที่ลัลลลิตาคลินิก