การดูแลผิวลูกในช่วงหน้าร้อน
อากาศบ้านเราจะเริ่มเปลี่ยนเข้าสู่หน้าร้อน นอกจากอากาศจะอบอ้าวมากขึ้นแล้ว ช่วงกลางวันก็ยาวนานขึ้น คุณพ่อคุณลูกที่ชอบทำกิจกรรมนอกบ้านจึงอาจประสบกับโรคผิวหนังอันเกิดจากความร้อนและรังสีอัลตราไวโอเลต คุณหมอจึงมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับโรคผิวหนังที่พบบ่อยในช่วงหน้าร้อน วิธีปกป้องเจ้าตัวน้อยจากแสงแดด รวมถึงเคล็ดลับการเลือกยาทากันแดดมาฝากกันค่ะ
โรคผิวหนังที่เด็กมักเป็นในช่วงหน้าร้อน
1.ผดร้อน
เนื่องจากท่อระบายเหงื่อของทารกและเด็กเล็กยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าคุณพ่อให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไป ผิวหนังของลูกจะระบายความร้อนได้ไม่ดี ท่อระบายเหงื่อซึ่งถูกอุดกั้นจึงทำให้เหงื่อค้างอยู่บนชั้นผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดง ซึ่งจะพบบ่อยที่ใบหน้า คอ และลำตัว
การรักษา ผื่นจะหายไปเองโดยไม่ต้องรับการรักษา ถ้ามีเหงื่ออกมากคุณพ่ออาจใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้ลูก
วิธีป้องกัน ให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมตามสภาพอากาศ ระบายอากาศได้ดี ดูแลให้ลูกอยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทสะดวก
2.ผื่นจากการเสียดสีตามซอกพับ
เด็กที่มีรูปร่างท้วมหรืออ้วนจะมีเนื้อบริเวณข้อพับเยอะ โอกาสที่ผิวหนังเสียดสีกันจึงเกิดขึ้นได้บ่อย และเมื่อเผชิญอากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อออกเยอะบริเวณซอกพับจะเปียกแฉะและอับชื้น เกิดเป็นผื่นแดง หากเป็นมาก เด็กอาจเจ็บบริเวณผื่นและมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้ง่ายขึ้น
วิธีป้องกันและรักษา ให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมตามสภาพอากาศ ระบายอากาศได้ดี ดูแลให้ลูกอยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทสะดวก และอย่าลืมทาแป้งฝุ่นเพื่อช่วยดูดซับความเปียกชื้น หากเป็นมาก แนะนำให้คุณพ่อพาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพื่อประเมินอาการและรับการรักษา นอกจากนี้ คุณพ่อควรช่วยดูแลเรื่องน้ำหนักตัวของลูกไม่ให้มากเกินไป โดยดูแลเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย เป็นต้น หากลูกมีภาวะอ้วนควรปรึกษากุมารแพทย์ด้านโภชนาการ
3.ผิวไหม้จากแดด
รังสียูวีบีทำให้เกิดการตายของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า ถ้าลูกไปเที่ยวเล่นกลางแจ้งที่มีแดดแรง ผิวก็อาจไหม้ได้ ซึ่งอาการนี้มักเกิดกับเด็กที่มีผิวขาว โดยผิวจะเป็นสีแดงเรื่อในกรณีที่มีอาการเล็กน้อย แต่ถ้ามีอาการรุนแรง ผิวจะแดงจัด บวม เจ็บ หรือ พองเป็นตุ่มน้ำได้ อาการจะหนักที่สุดในช่วง 6-24 ชั่วโมงแรก และจะค่อยๆดีขึ้นภายใน 3-5 วัน
การรักษา ประคบเย็น ถ้าเป็นรุนแรงควรพบแพทย์
วิธีป้องกัน ให้ลูกสวมหมวก ใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมแขนและขา กางร่มเวลาออกแดด ถ้าเป็นไปได้ควรอยู่ในที่ที่มีร่มเงา และอย่าลืมใช้ยาทากันแดด
ผื่นผิวหนังอักเสบจากพิษแมงกะพรุน
คำบรรยายภาพ
พิษของแมงกะพรุนจะทำให้ผิวหนังบวมแดง ร้อน มีตุ่มน้ำ มีอาการปวดแสบ
ฤดูร้อนย่อมหมายถึงทะเลถ้าคุณพ่อพาลูกๆ ลงเล่นน้ำทะเล แล้วลูกถูกพิษแมงกะพรุนละก็ขั้นตอนปฐมพยาบาลมีดังนี้
1.ช่วยเด็กขึ้นจากน้ำ ใช้น้ำส้มสายชูหรือผงฟูทาบริเวณที่สัมผัสถูกแมงกะพรุน ทิ้งไว้ 30 วินาที ถ้าไม่มี ให้ใช้น้ำทะเลล้าง
ห้ามใช้น้ำจืดหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้สารพิษจำนวนมากถูกปล่อยออกมาจากเข็มพิษ
2.หากเห็นว่ามีเข็มพิษที่ผิวหนังของลูกให้ใช้ แหนบ บัตรพลาสติก หรือ ด้านทื่อของมีดขูดเบาๆ เพื่อเอาเข็มพิษออกจากผิว
3. พาลูกไปรักษาต่อที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้แพทย์ประเมินอาการและให้ยารักษาตามความเหมาะสม
คำบรรยายภาพ
-ห้ามลูกลงเล่นน้ำในเขตที่มีแมงกะพรุนชุกชุม
-ใส่ชุดว่ายน้ำแขนยาว-ขายาว
-อย่าให้ลูกจับซากแมงกะพรุนที่ตายแล้ว
วิธีปกป้องลูกจากแสงแดด
แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวของเด็กหมองคล้ำ กระดำกระด่าง ไหม้แดด ผิวแก่ก่อนวัย และที่อันตรายที่สุดคือ มะเร็งผิวหนัง ดังนั้นการป้องกันผิวของลูกรักให้ปลอดภัยจากแสงแดดจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อไม่ควรมองข้ามด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
รังสียูวี บี มีความยาวคลื่นสั้นกว่า รังสียูวี เอ จึงตกกระทบมาที่ผิวชั้นหนังกำพร้าซึ่งอยู่ตื้นกว่า ขณะที่รังสียูวี เอ เข้าทำลายผิวได้ลึกถึงชั้นหนังแท้
1.ให้ลูกใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว เลือกที่ทำจากผ้าทอแน่น สีเข้ม เพื่อให้แสงผ่านได้น้อยใส่เสื้อผ้าที่มีความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต(UPF)โดยดูได้จากป้ายติดเสื้อผ้า
ประเภท |
UPF | ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวี |
ปกป้องรังสียูวีได้ดีเยี่ยม |
40-50+ |
มากกว่า 97.5% |
ปกป้องรังสียูวีได้ดีมาก |
25-35 |
95.9-97.4% |
ปกป้องรังสียูวีได้ดีเยี่ยม | 15-20 |
93.3-95.8% |
2.ทายาทากันแดดที่ปกป้องได้ทั้งยูวี เอและบี ให้ลูกก่อนออกแดดเสมอ ใช้ได้กับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยสังเกตจากคำแนะนำแต่ละบนบรรจุภัณฑ์ว่าเหมาะสำหรับเด็กอายุเท่าไร
3.ในการใช้ชีวิตประจำวันให้ใช้ทายากันแดดที่มีค่าSPF 15+ ขึ้นไปแต่ถ้าพ่อแม่ลูกต้องไปทำกิจกรรมกลางแจ้งด้วยกันเป็นเวลานาน ควรเลือก SPF อย่างน้อย 30+ ขึ้นไปทาก่อนออกแดด อย่างน้อย 20 นาทีทาให้ลูกซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหากว่ายน้ำหรือเหงื่อออกมากโดยทาในปริมาณที่เหมาะสม
4.ให้ลูกสวมหมวกปีกกว้าง ยื่นออกมาอย่างน้อย 4 นิ้ว ให้มีเงาปกคลุมใบหน้า คอ ใบหูเลือกที่แสงแดดทะลุผ่านไม่ได้
5.ให้ลูกอยู่ในที่ร่มหรือมีร่มเงา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่แดดแรงจัดหรือกางร่มโดยเลือกร่มที่สะท้อนรังสียูวี **เวลา 10.00-16.00น. เป็นช่วงที่มีรังสียูวี บี มากที่สุด แต่รังสียูวี เอ จะคงที่ตลอดทั้งวัน
6.ให้ลูกสวมแว่นตากันแดดที่ป้องกันรังสียูวี เอ และ บี ได้จริงมีขนาดเล็กเหมาะกับใบหน้าของลูก ที่ไม่ใช่แว่นตากันแดดของเล่น
เคล็ดลับการเลือกยาทากันแดด
การเลือกยาทากันแดดที่เหมาะสม คุณพ่อควรพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน นอกจากยาทากันแดดแล้ว ยังขึ้นกับอายุของลูกและกิจกรรมที่ทำด้วย
- ประเภทสารกันแดด จะระบุชื่อสารที่เป็นส่วนประกอบไว้บนฉลากของบรรจุภัณฑ์ (อาจจะตัดทิ้งทั้งหัวข้อนะคะ กลัวที่ไม่พอค่ะ)
- สารกันแดดประเภทสะท้อนกลับ (Physical sunscreen)
ไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium dioxide)และซิงก์ออกไซด์(Zinc oxide)จะสะท้อนรังสียูวีโดยไม่เกิดปฏิกิริยาที่ผิวหนัง สามารถป้องกันแสงที่มองเห็นได้ รวมถึงรังสียูวี เอ และบีป้องกันได้ทันที เมื่อทาไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ใช้ทาให้เด็กได้ แต่ไม่ควรใช้กับเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
- สารกันแดดประเภทดูดซับ (Chemical sunscreen)มีสารเคมี 20 ชนิด เป็นประเภทดูดซับ คิดว่าลงไปก็มึนเปล่าๆค่ะ
ดูดซับรังสียูวีแล้วเปลี่ยนไปเป็นความร้อน มักต้องใช้สารเคมีหลายตัวมาผสมกันจึงจะป้องกันได้ทั้งรังสียูวี เอ และบี มีโอกาสแพ้ได้มากกว่า ต้องทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 20 นาที
- ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสียูวี
เลือกยาทากันแดดที่สามารถปกป้องได้ทั้งยูวี เอและบี โดยมองหา
- SPF (Sunburn Protection Factor) ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสียูวี บีสังเกตได้จากคำว่า SPF ที่พิมพ์อยู่บนบรรจุภัณฑ์
- PAหรือUVA-PF (Protection grade of UVA) ประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสียูวี เอสังเกตได้จากบรรจุภัณฑ์หรือมองหาสัญลักษณ์นี้
* อัตราส่วนของ SPF กับ UVA-PF ควรเป็น 3:1
- ความสามารถในการกันน้ำ
- Water resistant กันน้ำได้นาน 40 นาที
- Very water resistant กันน้ำได้นาน 80 นาที
- รูปแบบของยาทากันแดด มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ครีม โลชั่นเจล สเปรย์ เลือกใช้ตามความชอบเนื้อข้น เหนอะหนะ หรือบางเบาต่างกัน
- ไม่ก่อให้เกิดสิวและไม่ผสมน้ำหอม สังเกตได้จากบรรจุภัณฑ์ มีข้อความว่า Non-comedogenicและ Perfume free หรือ Fragrance free
ดูแลทารกน้อยให้พ้นจากอันตรายของแสงแดด
-คุณพ่อไม่ควรให้ลูกน้อยอายุต่ำกว่า 6 เดือน สัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ดูแลเรื่องการแต่งกายที่ช่วยป้องกันผิวหนัง เช่น สวมหมวก เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว พยายามอยู่ในที่ร่ม ถ้าต้องออกแดดควรกางร่มเสมอ
-การทายากันแดดหากจำเป็น ควรเลือก SPF 15+ ขึ้นไปทาเฉพาะบริเวณที่ปกคลุมไม่ถึง เช่น แก้ม หลังมือ เป็นต้น ทาได้เมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป
-คอยสังเกตอาการของลูกน้อย ถ้าผิวของลูกแดงขึ้นมาหรือร้องไห้งอแงมากๆอาจไปได้ว่า ลูกเริ่มมีอาการผิวไหม้จากแดด
-ถ้าลูกปากแห้ง ปัสสาะวะน้อยลง อาจเป็นได้ว่าลูกขาดน้ำ ควรให้ดื่มน้ำเพิ่มขึ้นและบ่อยขึ้น และพากลับเข้าสู่ที่ร่ม
น้ำ สระว่ายน้ำ ทะเล
สะท้อนรังสียูวีเพิ่มขึ้น 100 % |
หาดทราย คอนกรีต
สะท้อนรังสียูวีเพิ่มขึ้น 25 % |
ปริมาณยาทากันแดดที่เหมาะสม
ปริมาณที่เหมาะสม คือ 2 มิลลิกรัม/ตารางเซนติเมตร เช่น
การทาครีมกันแดดสำหรับหน้าและคอ 1 ครั้ง จะต้องใช้ครีมกันแดดประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ เท่ากับ1 กรัม ดังนั้น การทาครีมกันแดดทั่วตัวจะต้องใช้ปริมาณครีมกันแดด 30 – 35 กรัมสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กนั้น ขนาดร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน ปริมาณที่ทาจึงขึ้นกับพื้นที่ผิวของเด็กแต่ละคน
หากทายากันแดดน้อยกว่าที่กำหนดครึ่งหนึ่ง ประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีจะลดลงถึง 4 เท่า